ฟิล โฟเด้น คือนิยามของเด็กปั้นที่เติบโตมากับสโมสรและกลายเป็นกำลังหลักของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ตั้งแต่วันที่เขาก้าวเข้าสู่ อะคาเดมี่ของแมนฯ ซิตี้ ในวัยเพียง 8 ขวบ จนถึงวันที่ได้รับโอกาสจาก เป๊ป กวาร์ดิโอลา ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ โฟเด้นพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาไม่ได้เป็นแค่ดาวรุ่งที่โชคดี แต่เป็นนักเตะที่มีความสามารถระดับโลก
เขาผ่านช่วงเวลาที่ต้องอดทน รอโอกาส และเรียนรู้จากยอดแข้งอย่าง ดาบิด ซิลบา และ เควิน เดอ บรอยน์ จนพัฒนาสไตล์การเล่นที่โดดเด่น ทั้งการควบคุมบอล การสร้างสรรค์เกม และการทำประตู ปัจจุบันเขาคือหนึ่งในตัวหลักที่ทีมขาดไม่ได้ และเป็นความหวังของแฟนบอล แมนฯ ซิตี้ ที่จะเห็นเขาก้าวขึ้นมาเป็นตำนานของสโมสรในอนาคต
จุดเริ่มต้นของ ฟิล โฟเด้น เด็กเมืองสต็อกพอร์ตผู้มีฝันใหญ่
ฟิล โฟเด้น เติบโตขึ้นมาในเมือง สต็อกพอร์ต ทางตอนใต้ของแมนเชสเตอร์ เมืองที่เต็มไปด้วยแฟนบอลที่รักฟุตบอลแบบเข้าเส้น และเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ตั้งแต่เด็ก โฟเด้นใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเตะบอลตามถนนหรือสนามหญ้าแถวบ้าน โดยมีความฝันเพียงหนึ่งเดียวคือการได้เล่นให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สโมสรที่เขารัก
ครอบครัวของเขาเห็นแววแต่เด็ก และในวัยเพียง 8 ขวบ เขาก็ได้เข้าร่วม อะคาเดมี่ของแมนฯ ซิตี้ อย่างเป็นทางการ โค้ชที่นั่นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เด็กคนนี้มีอะไรพิเศษ เทคนิคดี อ่านเกมเก่ง และมีความกระหายในชัยชนะแบบนักเตะระดับโลก เมื่อเข้าสู่ทีมเยาวชน โฟเด้นก็โดดเด่นเหนือเพื่อนรุ่นเดียวกัน เขาคือคนที่เล่นเหมือนเกิดมาเพื่อเป็นนักฟุตบอล และที่สำคัญคือเขาไม่เคยหลงตัวเอง ยังคงเป็นเด็กหนุ่มจาก สต็อกพอร์ต ที่รักฟุตบอลและทำทุกอย่างเพื่อสานฝันให้เป็นจริง
โอกาสแรกในทีมชุดใหญ่ การเปิดตัวที่โลกต้องจดจำ
ฟิล โฟเด้น ได้รับโอกาสลงสนามให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในปี 2017 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แฟนบอลหลายคนเริ่มจับตามองเด็กจากอะคาเดมี่รายนี้ การได้เดบิวต์ภายใต้การคุมทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทีมชุดนั้นเต็มไปด้วยนักเตะระดับโลก แต่โฟเด้นแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจตั้งแต่นาทีแรก เขามีสัมผัสบอลที่นุ่มนวล การเคลื่อนที่ฉลาด และไม่กลัวที่จะเล่นกับพวกซีเนียร์
นั่นทำให้เขากลายเป็นแข้งดาวรุ่งที่ได้รับการพูดถึงทันที จุดเปลี่ยนสำคัญคือการลงเล่นใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2017 นัดเจอกับ ชักตาร์ โดเนตส์ก ซึ่งทำให้เขากลายเป็นนักเตะอังกฤษที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นในรายการนี้ให้กับสโมสร หลังจากวันนั้น ฟิล โฟเด้น ไม่เคยหันหลังกลับอีกเลย เขาใช้ความอดทนและความพยายามรอโอกาสของตัวเอง จนกระทั่งได้แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในนัดชิง คาราบาว คัพ 2019 และกลายเป็นแข้งกำลังหลักของ แมนฯ ซิตี้ มาจนถึงทุกวันนี้
เดบิวต์ในสีเสื้อ แมนฯ ซิตี้
ฟิล โฟเด้น ได้รับโอกาสลงสนามให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในปี 2017 ในเกมปรีซีซั่นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่แฟนบอลเริ่มจับตามองเจ้าหนูจาก อะคาเดมี่ของแมนฯ ซิตี้ เพราะแม้จะเป็นแค่เกมอุ่นเครื่อง แต่โฟเด้นเล่นด้วยความมั่นใจ ควบคุมบอลได้ดี และกล้าเล่นแบบที่เด็กวัยเดียวกันไม่ค่อยกล้าทำ การเปิดตัวครั้งนั้นทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ออกมาชื่นชมว่าเด็กคนนี้ “พิเศษ” และมีศักยภาพที่จะเป็นนักเตะระดับโลกได้
ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2017
หลังจากสร้างความประทับใจในช่วงปรีซีซั่น โฟเด้นก็ได้โอกาสลงสนามในเกมอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก นัดที่ แมนฯ ซิตี้ พบกับ ชักตาร์ โดเนตส์ก เขากลายเป็นนักเตะอังกฤษที่อายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นในรายการนี้ให้กับสโมสร ด้วยอายุเพียง 17 ปี 192 วัน แม้จะเป็นแมตช์ที่ไม่มีผลต่อการเข้ารอบ แต่โฟเด้นก็เล่นได้อย่างโดดเด่น การจ่ายบอลที่เฉียบคมและการเคลื่อนที่อัจฉริยะของเขาทำให้แฟนบอลเริ่มเชื่อว่า นี่คือดาวรุ่งที่พร้อมจะก้าวขึ้นมาท้าชิงตำแหน่งตัวจริง
ความอดทนและการรอโอกาส
แม้จะได้รับโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ตั้งแต่ปี 2017 แต่โอกาสของ ฟิล โฟเด้น ยังมีจำกัด เพราะตอนนั้น แมนฯ ซิตี้ มีมิดฟิลด์ระดับโลกอยู่เต็มทีม ทั้ง ดาบิด ซิลบา, เควิน เดอ บรอยน์ และแบร์นาร์โด้ ซิลวา ทำให้โฟเด้นต้องนั่งสำรองบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยบ่นหรือแสดงความไม่พอใจ กลับใช้เวลานั้นพัฒนาฝีเท้า เรียนรู้จากนักเตะรุ่นพี่ และรอโอกาสอย่างใจเย็น ซึ่งความอดทนนั้นกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมได้ในเวลาต่อมา
โอกาสแจ้งเกิด นัดชิงคาราบาว คัพ 2019
ฤดูกาล 2018/19 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ ฟิล โฟเด้น โดยเฉพาะในเกม คาราบาว คัพ รอบชิงชนะเลิศ ที่ แมนฯ ซิตี้ พบกับ เชลซี เป๊ป กวาร์ดิโอลา ตัดสินใจส่งเขาลงสนามในเกมใหญ่แบบนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าผู้จัดการทีมเริ่มเชื่อมั่นในตัวเขา โฟเด้นเล่นได้อย่างโดดเด่น มีส่วนร่วมกับเกมรุก และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ไปได้สำเร็จ การลงเล่นในแมตช์สำคัญเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับดาวรุ่ง แต่โฟเด้นพิสูจน์แล้วว่าเขาพร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีม ไม่ใช่แค่เด็กปั้นที่ถูกดันขึ้นมาเล่นเพื่อเก็บประสบการณ์เท่านั้น
ฟิล โฟเด้น กับ DNA ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ฟิล โฟเด้น ไม่ใช่แค่เด็กปั้นของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่เขาคือตัวแทนของ DNA ของแมนฯ ซิตี้ อย่างแท้จริง ตั้งแต่วันที่เขาเข้าสู่อะคาเดมี่ เขาถูกปลูกฝังให้เล่นฟุตบอลแบบที่ทีมต้องการ การครองบอล การจ่ายบอลที่แม่นยำ และการเคลื่อนที่ที่ชาญฉลาด ทุกอย่างสะท้อนแนวทางฟุตบอลของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โฟเด้นเป็นนักเตะที่เล่นด้วยความเร็ว ตัดสินใจเฉียบขาด และมีวิสัยทัศน์ในการสร้างสรรค์เกม
เขาเติบโตขึ้นมาภายใต้ระบบการเล่นที่ยึดถือการครองบอลและการกดดันสูง ซึ่งเป็นหัวใจของฟุตบอลแบบ แมนฯ ซิตี้ ปัจจุบันเขาไม่ได้เป็นแค่ดาวรุ่งอีกต่อไป แต่เป็นแข้งที่สโมสรฝากความหวังเอาไว้ และอาจเป็นว่าที่กัปตันทีมในอนาคต ด้วยสไตล์การเล่นและทัศนคติที่ตรงกับปรัชญาของทีม โฟเด้นจึงเป็นตัวแทนของ ยุคใหม่ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างแท้จริง
ช่วงเวลาสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์
หนึ่งใน ช่วงเวลาสำคัญที่ทำให้ ฟิล โฟเด้น กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ คือเกม ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก 2020/21 รอบก่อนรองชนะเลิศที่ แมนฯ ซิตี้ เจอกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เกมนั้นเป็นบทพิสูจน์ว่าโฟเด้นพร้อมสำหรับเวทีใหญ่ หลังจากทำประตูสำคัญในเลกแรก เขากลับมายิงประตูชัยในเลกสอง ช่วยให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทะลุเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ และเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปีเดียวกัน
นอกจากนี้ ในศึก คาราบาว คัพ 2020 นัดชิงชนะเลิศกับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ โฟเด้นเล่นได้อย่างโดดเด่นและมีส่วนสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ การที่เขาสามารถโชว์ฟอร์มระดับท็อปในเกมใหญ่ต่อเนื่อง ทำให้แฟนบอลและกูรูฟุตบอลเริ่มมองเขาเป็นมากกว่าแค่ดาวรุ่ง แต่เป็นแข้งระดับโลกที่พร้อมจะนำ แมนฯ ซิตี้ สู่อนาคต ปัจจุบันเขากลายเป็นตัวหลักของทีมที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ไว้ใจ และกำลังก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก
ความท้าทายในอนาคต ฟิล โฟเด้น จะเป็นตำนานของ แมนฯ ซิตี้ ได้หรือไม่?
ฟิล โฟเด้น กำลังเดินบนเส้นทางที่อาจทำให้เขากลายเป็น ตำนานของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้ แต่ความท้าทายยังมีอีกมาก แม้ตอนนี้เขาจะเป็นตัวหลักของทีม แต่การรักษาฟอร์มระดับท็อปอย่างต่อเนื่องคือสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการพิสูจน์ตัวเองในเกมใหญ่และแบกทีมในช่วงเวลาที่จำเป็น เช่นเดียวกับตำนานอย่าง เซร์คิโอ อเกวโร่ หรือ ดาบิด ซิลบา ที่ฝากผลงานสุดยอดไว้ให้กับสโมสร
อีกหนึ่งความท้าทายของโฟเด้นคือการเป็นผู้นำทีมในวันที่นักเตะซีเนียร์เริ่มโรยรา ซึ่งอาจหมายถึงการสวมปลอกแขนกัปตันและเป็นศูนย์กลางของทีมทั้งในและนอกสนาม ถ้าเขาสามารถพา แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกหรือยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งโชว์ฟอร์มระดับเวิลด์คลาสทุกซีซั่น ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่กลายเป็นตำนานของสโมสรในอนาคต
สรุป
ฟิล โฟเด้น คือภาพแทนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยุคใหม่ เด็กปั้นจากอะคาเดมี่ที่เติบโตขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมชุดใหญ่ เส้นทางของเขาไม่ได้ง่าย ต้องอดทน รอโอกาส และพิสูจน์ตัวเองในทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะระดับโลก แต่ด้วยพรสวรรค์และความมุ่งมั่น โฟเด้นก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในแข้งที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ไว้วางใจที่สุด เขาคว้าแชมป์มาแล้วมากมายและยังมีโอกาสเติบโตได้อีกไกล
ไม่ว่าจะเป็นการนำ แมนฯ ซิตี้ สู่ความสำเร็จในยุโรป หรือการเป็นแกนหลักของทีมชาติอังกฤษ หากเขารักษาฟอร์มต่อเนื่องและยกระดับตัวเองขึ้นไปอีกขั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฟิล โฟเด้น จะจารึกชื่อตัวเองเป็นหนึ่งในตำนานของสโมสรแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน